รีวิว Broad Peak เรื่องจริงของนักปีนเขาที่อยากแตะหลังคาโลกด้วยความยากและเย็น! โดยมีขาขึ้นคือความทะนงตน ขาลงคืออัตตา
หากพูดถึงภาพยนตร์โปแลนด์ ผู้เขียนเองก็มีโอกาสน้อยที่จะได้รับชม แต่ก็มีภาพยนตร์ไม่กี่เรื่องที่แว็บเข้ามาในหัว และก็อดไม่ได้ที่จะต้องนึกถึงเทศกาลภาพยนตร์โปแลนด์ ในปี 2015 ที่ซึ่งจัดขึ้นที่โรงภาพยนตร์ SF World Cinema ของเซ็นทรัลเวิลด์ใจกลางกรุงเทพฯ บ้านเรานี่เอง เนื่องจากสถานทูตโปแลนด์ประจำประเทศไทยและสถาบันภาพยนตร์โปแลนด์ได้จัดงานนี้ขึ้นเพื่อเป็นการแนะนำภาพยนตร์โปแลนด์มาสู่สายตาคนไทย จนทำให้ภาพยนตร์จำนวนหนึ่งอยู่ในใจคนไทยหลายคนไปโดยไม่รู้ตัว ไม่ว่าจะเป็น Life Feels Good (2013), One Way Ticket to the Moon (2013) หรือ Ida (2013) ภาพยนตร์ทั้งสามเรื่องที่พูดถึงเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ผู้เขียนได้แนะนำมาจากทั้งหมดของเทศกาล สิ่งหนึ่งที่ทั้งสามเรื่องนี้มีจุดร่วมแบบเดียวกันก็คือ หนังได้ดำเนินเรื่องราวอยู่ในอดีตหรือย้อนไปสู่เหตุการณ์ที่มีแบ็กกราวด์ในยุคนั้นๆ ซึ่งก็ตรงกันกับภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของ Netflix ที่จะมารีวิวเรื่อง Broad Peak (2022) ที่ต้องย้อนไปในยุค 80s และที่สำคัญภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างมาจากเรื่องจริง
Broad Peak (2022) บอกเล่าเรื่องราวของนักปีนเขาหิมาลัยชาวโปแลนด์ หลังจากทำการพิชิตยอดเขาได้หลายลูกในฤดูหนาวเป็นกลุ่มแรก พวกเขาก็พร้อมที่จะพิชิตคาราโครัม (Karakoram) เทือกเขาที่เข้าถึงยากที่สุดในโลก ในฤดูหนาวปี 1988 ด้วยสภาวะที่ลำบากยากเย็นสุดขั้ว แต่พวกเขาก็กล้าที่จะเผชิญหน้ากับความหนาวเย็นอันรุนแรงและโหดร้ายเพื่อไปให้ถึงจุดสูงสุด ซึ่งขัดต่อสภาพร่างกายของพวกเขาเอง โดยพวกเขาเลือกที่จะอิงจากความแข็งแกร่งของจิตวิญญาณที่ชัดเจนมากกว่า สิ่งนี้มันจึงสะกดความฝันของ Maceij Berbeka ในการพิชิตยอดเขาแห่งคาราโครัม และหนึ่งยอดเขาที่เขาต้องการพิชิตให้สำเร็จก็คือบรอดพีค (Broad Peak)

เรื่องราวจะพาเราไปติดตาม Maceij Berbeka (รับบทโดย Łukasz Simlat) นักปีนเขาผู้มากประสบการณ์ ผู้ที่ต้องการพิชิตยอดเขาบรอดพีคให้จงได้ แม้จะในสภาพอากาศที่เลวร้ายเป็นอย่างมากก็ตาม เขาไม่ฟังใครทั้งสิ้น เขายืนยันจะขึ้นไป ทำให้ Aleksander Lwow (รับบทโดย Piotr Głowacki) ต้องขึ้นไปกับเขาด้วย และนี่คือความทะเยอทะยานและความมุ่งมั่นของ Maceij ในการทำตามความตั้งใจของตัวเอง
ในครึ่งแรกของหนังจะพาเราจดจ่ออยู่กับการพิชิตยอดเขาบรอดพีคของ Maceij ที่ยากลำบาก ภายใต้พายุหิมะที่กำลังซัดเข้ามาสู่การเดินทางของเขาบนความสูง 8,000 เมตร เขาไม่รู้จักเส้นทางแห่งนี้ในครั้งแรกอย่างแน่นอน ผู้ชมก็เช่นกัน สีขาวโพลนที่ไม่สบายตาของหิมะจะปรากฏ ลอย ซัด ปลิว อยู่เต็มหน้าจอซะส่วนใหญ่จนตัวละครเผยว่าพวกเขามองไม่เห็นเบื้องหน้า จะบอกว่าผู้ชมก็เช่นกัน ร่างกายใบหน้าของตัวละครดูซีดเซียวไร้เรี่ยวแรงเกล็ดหิมะเกาะติดเป็นน้ำแข็งเหมือนในช่องฟรีสตู้เย็น อาการตัวสั่นขวัญผวาเหมือนกลัวว่าจะไม่ได้กลับไปเพราะโดนฆาตรกรที่ชื่อความหนาวทารุณกรรมจนตาย หากคุณรับชมอยู่ในห้องแอร์คุณอาจจะรู้สึกหนาวเพิ่มขึ้นกว่าอุณหภูมิจริงก็เป็นได้ เสียงลมพายุที่กำลังร้องโหยหวนมีมากกว่าบทสนทนา ที่จะถูกใช้เมื่อจำเป็นเท่านั้น เนื่องจากการขาดออกซิเจนอาจทำให้เกิดภาพหลอนหรือขาดสติสัมปชัญญะ และกระทั่งสูญเสียสัญชาตญาณการเอาตัวรอด จนทำให้บางขณะแม้แต่การเรียกของเพื่อนผ่านวิทยุจากฐานบัญชาการยังไม่คิดจะตอบกันเลย อย่างไรก็ตาม ความทรหดอดทน การเฉียดฉิวความเป็นความตายของ Maceij ก็ทำให้เขากลับมาบ้านในฐานะผู้พิชิตยอดเขาบรอดพีคได้สำเร็จ
เหรียญตรา รอยยิ้ม และงานฉลอง คือจุดเริ่มต้นของครึ่งหลังในเรื่องราวนี้ เขาได้กลายเป็นคนดังในฐานะผู้พิชิต แต่เมื่อเวลาผ่านไปเขาก็ต้องมาพบว่าเพื่อนของเขาอย่าง Alek ที่ขึ้นไปบรอดพีคกับเขาด้วย ได้เขียนลงในนิตยสารนักปีนเขาโดยเปิดเผยว่า Maceij ไม่ได้ปีนไปถึงยอดเขาบรอดพีค แต่ถึงแค่ยอดเขาร็อกกี้ ที่ซึ่ง Maceij อยุ่ห่างกับยอดเขาบรอดพีคเพียง 17 เมตรเท่านั้น นั่นก็หมายความว่า ยอดเขาบรอดพีคยังไม่มีผู้พิชิต สิ่งนี้มันจึงทำให้ Maceij โกรธเป็นอย่างมาก หลังจากนั้นเขาจึงได้ใช้ชีวิตกับครอบครัวเพียงอย่างเดียว และสัญญากับภรรยาว่าจะไม่กลับไปปีนเขาอีกต่อไป เขาใช้ชีวิตกับลูกชาย จนลูกชายโต และเหมือนจะลืมเรื่องแย่ๆ ได้ เรื่องราวของเขาดูเหมือนจะปลงและปล่อยวางได้ แต่สุดท้ายในปี 2013 ทางด้านเพื่อนของเขาที่ชื่อ Krzysztof หนึ่งในกลุ่มนักปีนเขาก็ติดต่อมาเสนอให้เขาใช้ประสบการณ์นำนักปีนเขารุ่นใหม่ไฟแรงกลับไปปีนเขาเพื่อพิชิตบรอดพีคและแก้ตัวอีกครั้ง พร้อมกับอุปกรณ์ที่ครบครันและทันสมัยกว่าเก่า จนเรื่องราวในครึ่งหลังก็ได้เข้าสู่จุดจบ

หากลองวิเคราะห์ตัวละคร Maceij ความทะเยอทะยานของนักปีนเขาที่ต้องการเอาชนะสิ่งต่างๆ เพื่อการไปถึงจุดสูงสุดแทบจะโหม่งเพดานโลก มันอาจมีสิ่งที่เรียกว่า อัตตา (Ego) อยู่ในตัวตนของผู้นั้นเสมอ หากคิดดูดีๆ ทุกการพิชิต แข่งขัน เป้าหมาย เพื่อเป็นที่ยอมรับ ในกรณีนี้ไม่ว่าการเอาชนะความท้าทายของสภาพอากาศ ร่างกาย จิตใจ การเอาชนะตัวเอง หรือการเอาชนะผู้อื่น ล้วนเป็นองค์ประกอบเบื้องต้นในการพิชิตสิ่งต่างๆ ทั้งนั้น ในช่วงแรกของการพิชิตด้วยสภาพอากาศที่ย้ำแย่อย่างมาก ทางกลุ่มที่ฐานก็เตือนให้เขาดูสภาพอากาศอีกทีก่อนขึ้นไป เขาก็ไม่ฟัง พอเขาขึ้นไปในระดับที่สูงและอันตรายจากพายุทางเพื่อนก็เตือนให้กลับลงไป แต่เขาก็ไม่ฟังใคร หากเราสังเกตุในช่วงแรกหนังจะตัดสลับภาพภรรยาที่คอยเตือนไม่อยากให้เขาไปตั้งแต่อยู่บ้าน นั่นแหละ เขาก็ไม่ฟัง เมื่อพิจารณาจากที่เขาพูดว่า “เหนือฉันขึ้นไปก็ไม่มีอะไรแล้ว” เมื่อตอนที่ขึ้นไปถึงยอดเขาบรอดพีคครั้งแรกของเขา จากคำพูดนี้ก็ไม่แปลกใจว่าทำไมเขาต้องโกรธเป็นอย่างมาก เมื่อเพื่อนเขาออกมาเผยว่าที่เขายืนมันยังไม่ใช่ยอดเขาบรอดพีค
การตัดสินใจกลับไปอีกรอบของเขา คือการพิสูจน์อัตตาที่สูงเหนือยอดเขาอีกครั้ง อย่างน้อยๆ เขาก็ผิดสัญญากับภรรยาแล้ว ทั้งที่เขาก็ยังยอมรับอยู่ตลอดเวลาว่าเขาได้ทำการพิชิตยอดเขาแห่งนี้ได้สำเร็จแล้ว ผู้ชมอย่างเราๆ ก็เข้าใจถึงความมุ่งมั่นและจริงใจในคำพูดของเขาได้ และรู้สึกได้ว่าความยากลำบากในช่วงต้นเรื่องที่ทรมานนั้นมันเสียเปล่าหากเขาไปไม่ถึงจริงๆ แต่ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร สิ่งนี้มันก็ทำให้เขารวบรวมช่วงเวลา 25 ปีที่เขาพยายามหนีจากการตกเป็นคนจอมปลอมของสังคม และจะทำการกู้เกียรติของเขาคืนมาให้ได้ จนในที่สุด ในวันที่ 5 มีนาคม 2013 เขาได้พิชิตยอดเขาบรอดพีคได้สำเร็จพร้อมกับทีมนักปีนเขาวัยหนุ่มอีกสามคน อย่างไรก็ตาม ในเวลาที่ช้ากว่าแผนไปสามชั่วโมง สิ่งที่น่ายินดีก็คือ ในช่วงขาขึ้น เขาสามารถพิชิตยอดเขาบรอดพีคได้สำเร็จ แต่สิ่งที่น่าเศร้าก็คือ เขาไม่มีช่วงขาลง และที่น่าเศร้ากว่า เพราะมันคือเรื่องจริง!